แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กฎหมายชาวบ้าน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กฎหมายชาวบ้าน แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การขออนุญาตตั้งร้านค้าแบบเจ้าของคนเดียว

การขออนุญาตตั้งร้านค้าแบบเจ้าของคนเดียว


๑.สถานที่ติดต่อ

ในเขตกรุงเทพมหานครติดต่อที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในต่างจังหวัด

- ในเขตอำเภอที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด ให้ติดต่อ ณ สำนักงาน

- ในเขตอำเภอที่กฎหมายกำหนด ให้ติดต่อที่สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด ได้แก่

- จังหวัดตรัง

- อำเภอเมืองตรัง และกันตัง

- จังหวัดนครศรีธรรมราช

- อำเภอปากพนัง

- จังหวัดภูเก็ต

- ทุกอำเภอในจังหวัดภูเก็ต

- จังหวัดสงขลา

- อำเภอหาดใหญ่

- จังหวัดอุบลราชธานี

- อำเภอวารินชำราบ

- ในเขตอำเภอให้ติดต่อ ณ ที่ทำการปกครองประจำแต่ละกิ่งอำเภอ

- ในเขตอำเภออื่น ๆ ให้ติดต่อ ณ ที่ทำการปกครองประจำแต่ละกิ่งอำเภอ

๒.หลักฐานที่ต้องนำไปแสดง

- บัตรประจำตัวประชาชน

- สำเนาทะเบียนบ้าน

๓.ค่าธรรมเนียม

- เสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการจดทะเบียน ๕๐ บาท

๔.ข้อควรทราบ

- การค้าเร่ การค้าแผงลอย หรือพาณิชย์เพื่อบำรุงศาสนาใด ๆ หรือเพื่อการกุสลพาณิชย์กิจของนิติบุคคล ซึ่งได้มี พ.ร.บ. หรือพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งขึ้น พาณิชย์กรทรวง ทบวง กรมพาณิชย์ ของมูลนิธิ สมาคม สหกรณ์ พาณิชย์ ซึ่ง รมต. ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยกเว้นไม่ต้องไปจดทะเบียน

การขอทำใบขับขี่รถยนต์ส่วนตัวและรถจักรยานยนต์

การขอทำใบขับขี่รถยนต์ส่วนตัวและรถจักรยานยนต์


๑.อายุของผู้ทำใบขับขี่

- ผู้ขอต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีบริบูรณ์

- ผู้ขอทำใบขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ความจุกระบอกสูบขนาดไม่เกิน ๙๐ ลูกบาศก์เวนติเมตร ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๕ ปี บริบูรณ์

๒.สถานที่ติดต่อ

- มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครไปติดต่อสำนักงานทะเบียนรถยนต์กรมขนส่งทางบก หรือสำนักงานทะเบียนรถยนต์ สาขาที่เขตบางขุนเทียน เขตพระโขนง เขตหนองจอก หรือเขตตลิ่งชันแล้วแต่กรณี มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด ไปติดต่อ ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดหรือสำนักงานขนส่งสาขา (ถ้ามี)

๓.หลักฐานที่ต้องนำไปแสดง

- บัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอื่นที่ใช้แทนบัตรประจำตัวประชาชนใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือ หนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางแล้วแต่กรณีพร้อมภาพถ่าย

- ภาพถ่ายหรือสำเนาทะเยียนบ้าน , ใบสำคัญถิ่นที่อยู่หรือหลักฐานแสดงที่พักอาศัยในราชอาณาจักร หรือผู้ยื่นคำขอในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอเป็นคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองซึ่งมิใช่เป็นการเข้ามาเพียงการท่องเที่ยว การเล่นกีฬา หรือการเดินทางผ่านราชอาณาจักรแล้วแต่กรณี

- ใบรับรองแพทย์ แสดงว่าผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวอันอาจเป็นอันตรายขณะขับรถและไม่เป็นบุคลวิกลจริต หรือ จิตฟั่นเฟือน

- รูปถ่ายครึ่งตัวหน้าตรง ไม่สวมหมวก และแว่นดำ เว้นแต่บุคคลซึ่งจำเป็นต้องสวมหมวกหรือดพกผ้าตามลัทธิศาสนาของตน ขนาด ๓*๔ เซนติเมตร จำนวน ๒ รูป ซึ่งถ่ายก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน ๖ เดือน

- ถ้ามีหลักฐานดังต่อไปนี้ต้องนำไปด้วย

- ใบอนุญาตเป็นผู้ขอรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกหรือกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร

- ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศตามอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ทำ ณ นครเจนีวา ค.ศ.๑๙๔๙

การ "ให้"

ให้


การให้ตามกฎหมายคืออะไร เรามาดูตัวบทกฎหมายกันดีกว่า กฎหมายบอกว่า "อันว่าให้นั้นคือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้โอนทรัพย์สินของตนให้โดยเสน่หาแก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้รับ และผู้รับยอมรับเอาทรัพย์สินนั้น"

ให้โดยเสน่หา ก็คือ ให้ด้วยความรัก ความพอใจ ของผู้ให้นั้นแหล่ะ

ที่นี้เมื่อให้แล้วจะเอาคืนได้หรือไม่ มีทั้งได้และไม่ได้

เดี๋ยว อย่าพึ่งหาว่ากวนอวัยวะเบื้องล่าง เหตุที่เขียนอย่างนี้เพราะกฎหมายเขาบอกว่า

"อันผู้ให้จะเรียกให้ถอนคืนการให้ เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้นท่านว่าอาจจะเรียกได้เพียงแต่ในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้

1) ถ้าผู้รับได้ประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญาหรือ

2) ถ้าผู้ได้รับทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง

3) ถ้าผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้ และผู้รับยังสามารถจะให้ได้"

กฎหมายเรียกคืนการให้ได้เพราะเหตุ 3 อย่างข้างต้นนี้เท่านั้น แต่กฎหมายก็ยังเข้มงวดจำกัดลงไปอีกว่า ถึงแม้จะคืนการให้ได้ด้วยเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณก็ตาม "เมื่อผู้ให้ได้อภัยแก่ผู้รับในเหตุประพฤติเนรคุณนั้นแล้วก็ดี หรือเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว 6 เดือน นับแต่เหตุเช่นนั้นได้ทราบถึงบุคคลผู้ชอบที่จะเรียกถอนคืนการให้ได้นั้นก็ดี ท่านว่าหาอาจจะถอนคืนการให้ได้ไม่

อนึ่ง ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดี เมื่อพ้นเวลาสิบปีภายหลังเหตุการณ์เช่นว่านั้น

เห็นมั้ย ถึงแม้จะเรียกคืนการให้ด้วยเหตุประพฤติเนรคุณแต่ถ้าหากผู้ให้ได้ให้อภัยแล้วก็หมดสิทธิที่จะถอนคืนการให้ หรือปล่อยให้เวลาล่วงพ้นไปแล้วถึง 6 เดือน นับแต่ได้ทราบเหตุที่ผูรับประพฤติเนรคุณ ก็ถอนคืนการให้ไม่ได้ และหากว่าจะทราบเหตุถอนคืนการให้เมื่อเวลาล่วงพ้นไปแล้วถึง 10 ปี ก็ฟ้องไม่ได้เช่นกัน

ในกรณีที่ตอบว่า "ไม่ได้" ก็มีกฎหมายเขาเขียนไว้ว่า

"การให้อันัจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านว่าจะถอนคืนเพราะเหตุเนรคุณไม่ได้คือ

1) ให้เป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้

2) ให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน

3) ให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา

4) ให้ในการสมรส

ถ้าอยู่ในสี่จำพวกนี้แล้วหมดสิทธิถอนคืนการให้เด็ดขาด

เรามาดูความหมายของแต่ละข้อดีไหม จะได้รู้ว่าให้แบบไหนที่ถอนคืนการให้ไม่ได้ แม้จะเป็นเพราะเหตุเนรคุณ

ให้เป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้ ก็คงเป็นที่เข้าใจโดยง่ายว่าเป็นเรื่องของการให้เป็นค่าจ้างหรือการตอบแทนผู้รับได้ทำอะไรให้แก่ผู้ให้ซึ่งไม่ใช่เป็นการทำให้กันเปล่า ๆ แต่ผู้รับก็ทำให้โดยไม่ได้คิดค่าจ้าง ผู้จ้างก็เลยยกทรัพย์สินให้เป็นบำเหน็จ

ให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน หมายถึง เป็นการให้ที่ผู้ให้ได้ให้ทรัพย์สินไปแล้ว แต่มีเงื่อนไขให้ผู้รับต้องปฏิบัติต่อไปเกี่ยวกับการให้นั้น เช่น พ่อจะยกที่ดินให้ลูกแต่มีเงื่อนไขให้ลูกใช้หนี้และไถ่จำนองก่อน เมื่อลูกใช้หนี้และไถ่จำนองให้แล้ว พ่อจึงยกที่ดินให้ลูก กรณีที่พ่อให้ลูกกรณีนี้ เป็นการให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน

ให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา เป็นกรณีที่ผู้ให้ไม่มีหน้าที่ตามกฎหมาย แต่มีหน้าที่ตามศีลธรรมตัวอย่างที่หนึ่ง กรณีชายฉุดคร่าหญิงไปเป็นภรรยา ต่อมาได้ขอขมาและยกที่ดินให้กับพี่ชายของหญิง ซึ่งพี่ชายของหญิง ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงดูแต่เมื่อชายยกที่ดินให้เช่นนี้ เป็นการให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยา เอ้า ลองมาดูอีกหน่อย พ่อยกที่ดินที่มีราคาสูง และทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ลูกสาวแต่ผู้เดียว บุตรคนอื่นไม่ให้กรณีเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา นะ เป็นการให้โดยเสน่หา ซึ่งสามารถถอนคืนการให้ เพราะเหตุเนรคุณได้

ให้ในการสมรส โดยความหมายแล้ว ก็คือ ให้ในขณะทำการสมรส หรืออาจจะให้ก่อนสมรส แต่ต้องไม่ใช่ให้หลังการสมรส

เรื่องของการให้อย่างง่าย ๆ ที่ผู้อ่านพอจะทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ ก็มีแค่นี้หล่ะ

เมื่อลูกถูกหมา (คนอื่น) กัด

ลูกถูกหมา (คนอื่น)กัด

เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนเห็นคนเดินจูงสุนัขเกลื่อนไปหมด บางคนเอาสุนัขไปแปลงโฉมตัดขนเล็มขน บางคนจับมันแต่งตัวใส่กระโปรงนุ่งกางเกง ถึงกับมีร้านตัดชุดสำหรับสุนัขโดยเฉพาะ แถมเวลาเจ้าของมีธุระต่างจังหวัดไม่ส่ามารถเอาสุดที่รัก(สุนัข) ไปด้วย ยังเอาสุดที่รัก(สุนัข) ไปเข้าโรงแรมสำหรับสุนัขได้ด้วย

แต่ก่อนหาคนอยากเรียนหมอรักษาสัตว์หรือสัตวแพทย์ลำบากเหลือเกินเดี๋ยวนี้สัตวแพทย์รายได้ดีมาก ต่างคนต่างแย่งกันเรียน เปิดคลีนิครักษาสัตว์เฉพาะสุนัขก็รวยไม่เลิกอยู่แล้ว ท่านผู้อ่านลองสังเกตดูว่า เดี๋ยวนี้โลกมันกลับตาละปัตร สายอาชีวะแต่ก่อนว่าด้วย แต่เดี๋ยวนี้จบสายอาชีวะสามารถทำเงินได้มากกว่าสายสามัญ ขนมพื้นบ้าน อาหารพื้นบ้านที่คนจนเขากินกัน เดี๋ยวนี้ขึ้นภัตตาคาร ราคาแพง น้ำพริกกุ้งเสียบแต่ก่อนชาวบ้านกินกัน เศรษฐีต้องกินหูฉลาม เดี๋ยวนี้ น้ำพริกกุ้งเสียบชุดละ 60 บาท ดังนั้น หากท่านผู้อ่านคิดจะทำอะไร ลองนึกถึงเรื่องเก่า ๆ แล้วหยิบของเก่า ๆ สมัยโบราณมาทำขายดูซิ ดีไม่ดีอาจจะเป็นเศรษฐีในพริบตา

คุยนอกเรื่องไปเยอะแลย เรากลับมาเรื่องสุนัขของเราต่อนะครับ การเลี้ยงสุนัขบางคนเลี้ยงลูกสุนัขขนาดใหญ่ดูท่าทางน่ากลัว บางคนก็เลี้ยงสุนัขพันธุ์ล่าเนื้อ เอาดุ ๆ เข้าว่า ขโมยโจรได้ยินเสียงต้องถอยฉากก่อนว่างั้นเหอะ บางคนเลี้ยงขนาดกระเป๋า บางคนเลี้ยงขนาดรูปร่าง พันธุ์เห่ามั่งไม่เห่ามั้ง ทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่

วันดีคืนดี ถ้าเราเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ มันจะเข้ามาถ่ายในสนามหน้าบ้านเป็นประจำ ถ้าไม่เปิดประตูมันัก็ไม่มายุ่ง จนวันหนึ่งทนไม่ได้จึงปักป้ายว่า "ถ้าหมายเข้ามาขี้อีก หมาตาย" ปรากฎว่าน่าแปลกที่สุนัขบ้านเพื่อนบ้านมันฉลาดมาก มันอ่านป้ายรู้เรื่อง ตั้งแต่นั้นมามันไม่เคยเข้ามาถ่ายในสนามหน้าบ้านอีกเลย

ท่านผู้อ่าน เมื่อนึกถึงลูกอันเป็นดวงใจของเราจะตัวเล็ก ตัวใหญ่ขนาดไหน ก็ตามอาจจะเคยถูกหมาไล่งับมาบ้าง ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็ถูกหมาเห่า เพียงแค่นั้นไม่เกิดปัญหามาให้เราคุยกันแน่ แต่ที่เรามาคุยกันวันนี้ เป็นกรณีที่หมามันกัด แต่ถ้าเป็นหมาของคนที่ไม่ค่อบชอบขี้หน้ากันอยู่ คงจะปรึกษาว่าทำอย่างไรที่จะเอามันเข้าคุกให้ได้ อย่าเพิ่งถึงขนาดนั้นเลย

ก่อนอื่นเรามาดูหลักกฎหมายกันก่อน เพราะเรื่องนี้มีกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ในทางอาญา กฎหมายเขาบอกว่า " ผู้ใดควบคุมสัตว์ดุหรือสัตว์ร้ายปล่อยปละละเลยให้สัตว์นั้นเที่ยวไปโดยลำพังในประการที่อาจทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินครึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

เห็นไหม ยังไม่ต้องถึงไม่กัดใครเข้านะ เพียงแค่เดินไปคำรามแฮ่ ใส่คนโน้น คนนี้ เจ้าของก็นโดนแจ๊คพอต เข้าให้แล้ว คำว่าสัตว์ดุหรือสัตว์ร้าย หมายถึง สัตว์อะไรก็ได้ที่มันดุร้ายหรือมันร้าย รวมถึงหมาที่เห็นคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่เจ้าของแล้วกระโจนใส่ แต่ไม่หมายรวมถึงลูกเกเรของใครที่พอออกนอกบ้านแล้วชอบเที่ยวไปตีหัวหรือชกต่อยลูกคนอื่น เพราะเขาเป็นมนุษย์ไม่ใช่สัตว์

ในทางแพ่ง กฎหมายเขาบอกไว้ว่า "ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยง รับรักษาไว้แทนเจ้าของ จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหาย เพื่อความเสียหายอย่าง ใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะได้พิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยง การักษาตามชนิด และวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้น ย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่น อันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้

ดังนั้น หากเกิดกรณีลูกของท่านถูกหมากัดคนอื่นกัด ก็คงจะต้องพูดคุยเจรจากันก่อน หากหัวหมอก็ไปแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับเจ้าของหมา แต่เนื่องจากเป็นความผิดลหุโทษ ตำรวจอาจเปรียบเทียบปรับได้ แต่หากท่านในฐานเป็นผู้เสียหายไม่ยอมให้เปรียบเทียบปรับ ตำรวจก็จะส่งเรื่องไปที่อัยการ แล้วอัยการก็จะไปยื่นฟ้องเจ้าของหมาที่ศาล

ส่วนในเรื่องการเรียกร้องค่าเสียหายหากตกลงกันได้เองก็จบกันไป แต่ขอแนะนำว่าน่าจะตกลงอะไรกันให้ทำบันทึกไว้ หากตกลงกันไม่ได้ก็ต้องไปยื่นฟ้องที่ศาลเรียกร้องค่าเสียหาย

แต่ก่อนจะดำเนินการตามกฎหมาย อย่าลืมล้างแผลให้ลูกด้วยสบู่ก่อนนะ แล้วพาไปหาหมอ จากนั้นก็ต้องคอยสังเกตพฤติกรรมหมาที่มากัดลูกเรา ว่ามีอาการโรคกลัวน้ำหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องรีบดำเนินการให้หมอจัดการฉีดยาแก้โรคกลัวน้ำเสียนะ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กฎหมายชาวบ้าน

มรดกของคู่สมรส

วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของคู่สมรสจะมีสิทธิได้รับมรดกแค่ไหนเพียงไร หากสามีหรือภรรยาถึงแก่ความตายโดยไม่มีทายาท คู่สมรสจะได้รับมรดกมากน้อยแค่ไหนหากสามีหรือภรรยาถึงแก่ความตายโดยไม่มีทายาท คู่สมรสจะได้รับมรดกมากน้อยแค่ไหน ว่าไงค่ะ สนใจไหมหล่ะ
อันที่จริงใครมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่ในมืออยู่แล้วก็สามารถหาคำตอบได้ทันทีแต่หากท่านไม่มี ต้องอ่านกฎหมายชาวบ้านนี่หล่ะมีคำตอบให้ในความเป็นจริงกฎหมายก็เขียนเอาไว้นานแล้ว แต่ชาวบ้านไม่ค่อยเข้าใจหรือบรรดาผู้เป็นภรรยาทั้งหลายอาจยังไม่รู้ว่าตนเองมีสิทธิอะไรบ้าง ขณะที่เรากำลังรณรงค์ในเรื่องสิทธิสตรี งั้นดิฉันขอช่วยอีกแรงนะค่ะ
โดยปกติเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย สิทธิในการรับมรดกเกิดขึ้นทันที โดยผู้ที่เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย เรามาปูพื้นฐานในเรื่องลำดับของสิทธิในการรับมรดกกันก่อนนะค่ะ
กฎหมายบอกว่าทายาทโดยธรรมมีอยู่ 6 ลำดับเท่านั้น นอกเหนือจาก 6 ลำดับนี้แล้ว ไม่ใช่ และทายาทเหล่านี้จะมาแย่งกันรับมรดกไม่ได้ ต้องเป็นลำดับดังนี้ครับ
1. ผู้สืบสันดาน
2. บิดามารดา
3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
4. พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
5. ปู่ ย่า ตา ยาย
6. ลุง ป้า น้า อา
ซึ่งลำดับดังกล่าวข้างต้นนี้ ทายาทลำดับที่ 1 ไม่ตัดทายาทลำดับ 2 หมายถึงว่าถ้ามีลูก ก็ยังให้บิดามารดามีสิทธิได้รับมรดก แต่ถ้าลูกไม่มี มีแต่บิดามารดา ทายาท ลำดับที่ 3 คือ พี่น้องร่วมบิดามารดา เดียวกัน หรือทายาทลำดับถัด ๆ ไป ก็ไม่มีสิทธิได้รับมรดก
ถ้าผู้ตายมีภรรยาหรือสามี (ต้องเป็นภรรยาหรือสามีที่จดทะเบียนสมรสด้วยนะค่ะ) และบุตร และบิดายังมีชีวิตอยู่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ในระหว่างที่อยู่กินด้วยกัน ก็ต้องแบ่งครึ่งให้กับฝ่ายที่ยังมีชีวิตกึ่งหนึ่งก่อน (หมายถึงว่าเราไม่พูดกันถึงหนี้สินนะค่ะ) ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง่ก็จะตกเป็นมรดก ทายาทของผู้ตายก็จะมีสิทธิได้รับมรดกก็รับส่วนแบ่งกันไปตามส่วนนะค่ะ และส่วนเท่ากันทุกคนก็คือ พ่อก็ส่วนหนึ่ง แม่ก็ส่วนหนึ่ง ลูกก็คนละหนึ่งส่วน คู่สมรสก็ยังมีชีวิตอยู่ก็หนึ่งส่วนพูดง่าย ๆ ก็คือ เอาจำนวนผู้มีสิทธิได้รับมรดกมาหาร สมมติมีเงินสดอยู่ในธนาคาร 60 ล้าน ครอบครัวนี้มี พ่อ, แม่, ภรรยา และบุตรอีก 3 คน ก็เอา 6 ไปหาร 60 ก็จะได้รับส่วนแบ่งทรัพย์มรดกคนละ 10 ล้าน ค่ะ
ถ้าพ่อแม่ของผู้ตายไม่มี(หมายถึงว่าเขาตายไปก่อนที่เจ้ามรดกจะถึงแก่ความตายไม่ใช่ว่าเขาไม่มีพ่อไม่มีแม่นะ) มีแต่เมียกับลูก ก็จะตกได้แต่เมียกับลูกทั้งหมดเลย
ถ้าผู้ตายไม่มีลูกเมียทรัพย์มรดกจะตกได้แก่บิดามารดาทั้งหมด ถ้าพ่อแม่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่จะมีแต่แม่หรือจะมีแต่พ่อหรือยังมีชีวิตอยู่ทั้งสองคนก็ตาม มีแต่เมียจดทะเบียนแต่ไม่มีลูก ทรัพย์มรดกจะตกได้แก่คู่สมรสครึ่งหนึ่งนะค่ะ
ถ้าพ่อแม่ผู้ตายไม่มีชีวิตอยู่แล้ว บุตรผู้ตายก็ไม่มี มีแต่ภรรยา ทรัพย์มรดกก็จะไปตกได้แก่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันของผู้ตายครึ่งหนึ่ง คู่สมรสก็ได้มรดกครึ่งหนึ่ง เรียกว่าวัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่งนั่นหล่ะค่ะ สมมติว่าทรัพย์มรดกหกสิบล้านเท่าเดิม ถ้าเขามีพี่น้อง 3 คน อย่าลืมอย่าพลาดเพราะคู่สมรสจะได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งก่อน และส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งคือสามสิบล้าน ก็เจ้าพี่น้อง 3 คนนั่นมีสิทธิได้รับมรดกคนละสิบล้าน คงพอเข้าใจนะค่ะ
คราวนี้ มาดูอีกรูปแบบหนึ่งค่ะ พ่อแม่ก็ไม่มี ลูกก็ไม่มี มีแต่ภรรยา ส่วนพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันของผู้ตายก็ไม่มี มีแต่พี่น้องร่วมแต่บิดามารดาเดียวกัน พวกนี้ก็จะได้รับทรัพย์มรดกไป หนึ่งในสาม ส่วนคุณภรรยาได้รับคนเดียวสองในสามส่วน หรือพี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดาเกียวกันไม่มี มีแต่ปู่ ย่า ตา ยาย หรือปู่ย่าตายาย ไม่มีเหลือแต่ ลุง ป้า น้า อา อย่างนี้ คู่สมรสก็ได้ไป สองในสามส่วนเช่นกัน ส่วนทีเหลือหนึ่งในสาม ก็เอาไปเฉลี่ยกันเอง
ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก็เพราะว่า เห็นตัวอย่างในสังคมที่เป็นจริง มีผู้หญิงจำนวนมากที่ไม่รู้ไม่ทราบว่าตนมีสิทธิอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสิทธิที่ตนควรจะได้รับ ความเป็นช้างเท้าหลัง ความที่จะต้องอยู่กับบรรดาญาติพี่น้องของสามี ทำให้สตรีเหล่านี้ไม่กล้ามีสิทธิมีเสียง ไม่กล้าลุกขึ้นทวงสิทธิของตนหรืออาจจะเป็นเพราะไม่รู้ว่าตนมีสิทธิเพียงใด
ดิฉันเคยบอกเพี่อนหญิงที่มีสามีแล้ว่า เราหมดสมัยที่เป็นช้างเท้าหลังแล้ว เราควรที่จะกล้าแสดงออก กล้าเรียกร้องในสิ่งที่ถูกต้องจากสามีของเราได้
และดิฉันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเพื่อนหญิงของเราได้บ้าง
แล้วท่านหล่ะคิดอย่างไร